ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานทั้งทางตรงและทางอ้อมให้แก่ทุกสรรพสิ่งในโลกพลังงานที่ดวงอาทิตย์ให้แก่โลกทางตรง คือ แสงสว่าง ซึ่งมีผลทำให้เกิดความร้อน สร้างความอบอุ่นให้แก่โลก พลังงานทางอ้อม คือ ดวงอาทิตย์ทำให้สิ่งมีชีวิตดำรงชีพอยู่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชเจริญเติบโตโดยอาศัยการสังเคราะห์แสงจากแสงอาทิตย์ และมนุษย์ได้อาศัยพลังงานจากต้นไม้ ที่สำคัญ ๆ คือ ฟืน ถ่าน และเมื่อพืชและสัตว์ตายทับถมกันเป็นเวลานาน ๆ จะกลายเป็นถ่านหินปิโตรเลียม รวมทั้งการนำหลักการย่อยสลายของพืชมาทำเป็นก๊าซชีวภาพ
ดวงอาทิตย์เป็นกลุ่มก๊าซร้อนรูปทรงกลมที่มีความหนาแน่นสูงมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.39×109กิโลเมตร มีมวลเท่ากับ 1.99×1030
กิโลกรัมและมีความหนาแน่นเฉลี่ยเท่ากับ 1,410 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร และมีระยะห่างเฉลี่ยจากโลกประมาณ 1.5×1011 เมตร
เมื่อสังเกตจากโลกดวงอาทิตย์จะหมุนรอบแกนตัวเองประมาณ 28 วันหรือ 4 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามการหมุนของดวงอาทิตย์
ไม่หมุนเป็นแบบของแข็งหมายถึงที่บริเวณศูนย์สูตรจะใช้เวลาประมาณ 27 วันและประมาณ 30 วันที่บริเวณขั้ว
ดวงอาทิตย์เปรียบเสมือนวัตถุดำที่อุณหภูมิประสิทธิผล 5,777 เคลวิน อุณหภูมิภายในศูนย์กลางของดวงอาทิตย์มีค่าประมาณ 8×106 ถึง 40×106
เคลวินและมีความหนาแน่นประมาณ 100 เท่าของความหนาแน่นของน้ำ การปลดปล่อยพลังงานของดวงอาทิตย์อยู่ในรูปปฏิกิริยาฟิวชั่น
ของก๊าซที่เป็นส่วนประกอบอย่างต่อเนื่อง พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่จากดวงอาทิตย์เกิดจากการหลอมตัวของนิวเคลียสธาตุเบาของไฮโดรเจน (H)
เป็นฮีเลียม (He) โดยมวลนิวเคลียสของฮีเลียมมีค่าน้อยกว่ามวลของไฮโดรเจนสี่ตัวรวมกัน ดังนั้นมวลส่วนที่เหลือเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงานกระบวนการ
นี้จะเกิดขึ้นภายในดวงอาทิตย์ที่อุณภูมิหลายล้านเคลวิลและจะถ่ายเทมายังผิวของดวงอาทิตย์และแผ่จากผิวสู่อวกาศ